วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ยาเสพติดกับวัยรุ่น

 ยาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่อย่างมากในสังคมปัจจุบัน เพราะปัจจุบันวัยรุ่นซึ่งถือว่าเป็นอนาคตของชาติได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตและทรัพย์สินของสังคมส่วนรวมอย่างมาก และยังเป็นปัญหาต่อความมั่นคงของชาติอีกด้วย
                     วัยรุ่นเป็นวัยที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะก้าวผ่านจากวัยเด็กไปสู่ผู้ใหญ่ต่อไป ทำให้บ้างคร้งความคิดเห็นที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นเองแตกต่างออกไปจากผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบแล้ว ในขณะเดียวกันวัยรุ่นก็ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป สังคมลอบข้างล้วนแปรเปลี่ยนไป สภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องแข่งขันกันทำให้ผู้ปกครองไม่มีเวลาอบรมและใกล้ชิดบุตรหลาน จนบางครั้งวัยรุ่นเกิดความรู้สึกสับสน ด้วยวัยที่ด้อยคุณวุฒิและอ่อนประสบการณ์ทำให้หาทางออกด้วยวิธีการที่ผิดในบางครั้ง
                      ยาเสพติดจะเข้ามีอิทธิพลกับวัยรุ่นเป็นอย่างมากในช่วงเวลานี้ โดยบางครั้งอาจได้รับคำชักชวนจากเพื่อน ในช่วงวัยนี้บุคคลที่มีอิทธิพลต่อวัยรุ่นมากที่สุดก็คือเพื่อน เพราะปัญหาที่ไม่กล้าบอกเล่าหรือไม่ได้รับความสนใจจากผู้ปกครองรวมทั้งครูอาจารย์ คนที่ได้รับความไว้วางใจที่สุดก็คือเพื่อน และเพื่อนก็คือคนที่อยู่ในช่วงอายุใกล้เคียงกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้คำแนะนำที่ได้ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง บ่อยครั้งคำแนะนำที่ได้ก็คือการหลีกหนีปัญหาโดยการใช้ยาเสพติด โดยเริ่มจากบุหรี่ เหล้า และนำไปสู่ยาเสพติดชนิดต่างๆที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ
                      สังคมในปัจจุบันคือสังคมที่มาจากการเติบโตของค่านิยมแบบตะวันตก ทำให้วัยรุ่นมีแนวคิดนิยมวัตถุมากขึ้น ทำให้เกิดการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ความต้องการเป็นที่สนใจของเพศตรงกันข้าม ความผิดหวังในชีวิตเกี่ยวกับเรื่องการเรียน และการปรับตัวให้เข้ากับสังคม ความเครียดเกี่ยวกับปัญหาภายในครอบครัว ฯลฯ ล้วนเป็นปัจจัยผลักดันให้วัยรุ่นเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
                      วัยรุ่นจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดโดยการเริ่มจากาการเป็นผู้เสพ และต่อมาก็จะเข้าไปสู่การเป็นผู้จำหน่าย และเมื่อมีความข้องเกี่ยวไปเรื่อยๆเมื่อโตขึ้นก็จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการผลิตต่อไปได้ นอกจากนี้ยาเสพติดอาจนำไปสู่การค้าประเวณีเพื่อนำเงินมาซื้อยาเสพติดและใช้จ่ายตามค่านิยมของสังคม
                        ทำให้ในปัจจุบันมีหน่วยงานหลายฝ่ายให้ความสนใจแก้ปัญหาวัยรุ่นกับยาเสพติดมากขึ้น เพราะนอกจากยาเสพติดจะเป็นตัวบ่อนทำลายอนาคตของชาติและความมั่นคงของชาติ แล้วยังปัจจัยต้นๆที่นำไปสู่การเกิดโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่ออีกหลายชนิด ซึ่งเป็นการทำลายอัตราแรงงานของวัยทำงานของชาติอีกด้วย
                       การแก้ไขปัญหาได้เริ่มจากการรนณรงค์ให้ครอบครัว ซึ่งถือเป็นสังคมที่ใกล้ชิดกับวัยรุ่นมากที่สุดหันมาให้เวลากับบุตรหลานและร่วมแก้ไขปัญหาด้วยกัน สังคมโรงเรียนและสถานศึกษาที่ต้องมีการติดตามสังเกตุพฤติกรรมของนักเรียนนักศึกษาที่จะเข้าข่ายเกี่ยวข้องกับยาเสพติด มีการจัดตั้งคลีนิคนิรนามเพื่อให้คำปรึกษากับผู้ติดยาเสพติดที่ต้องการจะเลิก รนณรงค์ให้สังคมเห็นว่าผู้ติดยาเสพติคือผู้ป่วยที่ต้องการกลับเข้ามาอยู่ในสังคมโดยได้รับการยอมรับจากสังคมทุกระดับ
                    นอกจากการแก้ปัญหาข้างต้นแล้วยังมีความพยายามป้องกัน เพื่อไม่ให้วัยรุ่นเข้าไปยุ่งกับยาเสพติดอีกด้วย เช่นมีการจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพจิตวัยรุ่น การรนณรงค์ให้วัยรุ่นคลายเครียดด้วยการใช้กีฬาเพื่อให้เกิดประโยชน์กับตนเอง ไม่หันไปพึ่งพายาเสพติด มีการให้ความสนใจการแสดงความคิดเห็นของวัยรุ่นเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ เพื่อให้วัยรุ่นได้เกิดมีความรู้สึกภูมิใจในตัวเอง และกล้าแสดงออกในทางที่ถูกต้อง

ที่มา : https://shimmerysunlight.wordpress.com/2007/03/07/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9E%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99/

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

โทรศัพท์มือถือกับการเปลี่ยนแปลงชีวิตวัยรุ่น


เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การดำเนินชีวิตก็ย่อมเปลี่ยนไปตาม
      โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันนี้ นอกจากจะมีคุณสมบัติในการสื่อสารทางเสียงแล้วยังมีความสามารถอื่นอีก  เช่น  สนับสนุนการสื่อสารด้วยข้อความ เช่น SMS ,การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต, การสื่อสารด้วยแบบ Multimedia เช่น MMS, นาฬิกา, นาฬิกาปลุก, นาฬิกาจับเวลา, ปฏิทิน, ตารางนัดหมาย    รวมไปถึงความสามารถในการรองรับแอปพลิเคชันของจาวาเช่น เกมส์ต่างๆได้   และเจ้ามือถือนี่เองก็กลับเป็นที่สิ่งเปลี่ยนแปลงไลน์สไตล์ของชีวิตคนได้   ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันมือถือได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยรุ่น ในสายตาของวัยรุ่น โทรศัพท์มือถือมิได้มีฐานะเป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารที่ใช้ในการสนทนาระหว่างกันและกันเท่านั้น แต่โทรศัพท์มือถือกับกลายเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นปัจจัยที่5 ในชีวิตของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว  มือถือยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงลักษณะของตนเอง โดยผ่านการเลือกภาพพักหน้าจอที่แปลกใหม่ การใช้เสียงเรียกเข้า (Ringtone) ที่ทันสมัย และไม่ซ้ำใคร การเลือกเสียงรอสาย (Calling Melody) ที่ตรงกับความชอบ และการเลือกใช้กรอบมือถือที่แสดงบุคลิก และความเป็นตัวตนของพวกเขา   นอกจากนี้โทรศัพท์มือถือในสายตาวัยรุ่นยังเป็นเครื่องมือแสดงสถานะทางสังคม ที่สร้างความภูมิใจ และความโก้เก๋ให้แก่วัยรุ่น การเปลี่ยนโทรศัพท์บ่อยๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากใช้โทรศัพท์ที่ตกรุ่น เพราะกลัวจะไม่ทัดเทียมกับเพื่อนนั้น ฟังดูจะคุ้นชินจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา (ที่ไม่ธรรมดา) ที่วัยรุ่นต้องพยายามเกาะกระแสให้ทัน
              นอกจากนี้ วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยยังใช้เวลาในแต่ละวันสาละวนอยู่กับโทรศัพท์มือถือมากกว่าที่จะใช้เวลากับพ่อแม่ ญาติพี่น้องเสียด้วยซ้ำ   ทั้งการใช้พูดคุยกับเพื่อน/แฟน เล่นเกม ฟังเพลงถ่ายรูป ฯลฯ สรุปได้ว่า ทุกวันนี้ วัยรุ่นจำนวนมากคิดว่า "โทรศัพท์มือถือคือพระเจ้า" ซึ่งเป็นแทบทุกอย่างสำหรับพวกเขา ทั้งเครื่องมือแก้เหงา เครื่องมือคลายเครียด เครื่องมือเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเพื่อน
และแฟน ฯลฯ

ที่มา : http://www.oknation.net/blog/ilovedpu/2009/09/10/entry-5

แบรนด์เนม ค่านิยมทางวัตถุ


แบรนด์เนม…วิกฤติทางใจ จากค่านิยมทางวัตถุ
ด้วยกระแสบริโภคนิยม และการวัดค่าของคนจากวัตถุของสังคมไทยในยุคปัจจุบันนี้ คงไม่แปลกที่สินค้ามียี่ห้อ ราคาแพง และได้รับความนิยมจากคนส่วนใหญ่ ที่รู้จักกันในนามสินค้า “แบรนด์เนม” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรืออุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกอย่างโทรศัพท์มือถือนั้น จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของใครหลายๆ คน มากกว่าการเป็นสิ่งของเครื่องใช้ หากยังเป็นเครื่องวัดความมั่งมี วัดความดีงาม ความน่าเคารพ สรรเสริญของคนในสังคม สิ่งนี้ถือเป็นวิกฤติทางจิตใจ ที่ต้องเร่งระงับและให้การแก้ไขโดยด่วน
นั่นเพราะทุกวันนี้ คนในสังคมต่างยึดติดอยู่กับค่านิยมทางวัตถุ “มีเงินเขานับเป็นน้อง มีทองเขานับเป็นพี่” คนดีไม่มีบทบาท ขาดโอกาสทำประโยชน์เพื่อสังคม เลือกมองคนจากวัตถุมากกว่าจิตใจ จึงเป็นเหตุให้หลายๆ คนที่ขาดสติความยั้งคิด เลือกเดินตามทางผิด ดิ้นรนแสวงหาข้าวของเครื่องใช้ราคาแพง เพียงเพื่อความภาคภูมิใจในการได้ครอบครอง ได้โอ้อวด โดยไม่เลือกวิธีการในการแสวงหาสิ่งเหล่านั้น ดังที่เป็นข่าวออกสื่อกันได้แทบทุกวี่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาสาวขายบริการทางเพศ การฉกชิงวิ่งราวจนบานปลายถึงขั้นการปล้นธนาคาร ส่วนในครอบครัวที่มีฐานะ การใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายไปกับข้าวของที่เรียกได้ว่าไม่ได้มีความจำเป็นต่อปัจจัยในการดำรงชีวิตเหล่านี้ จะยิ่งพอกพูนนิสัยแห่งความฟุ่มเฟือยใช้เงินแลกความสุข จากการได้เดินชอปปิงและมีของใช้ราคาแพงไว้โอ้อวดซึ่งกันและกัน ใครที่ไม่มีเมื่อเห็นคนอื่นมี แล้วหลงคิดไปว่าการมีบ้างถือเป็นสิ่งที่ดี ก็จะเป็นทุกข์ เป็นร้อน และเข้าสู่วังวนแห่งการกระทำความผิดเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งของที่เรียกกันว่าแบรนด์เนม ที่สมมติกันไปว่าเป็นของมีค่า เป็นเครื่องตีตราความดีงามของคนในสังคมได้
การยกย่องความดีให้มีอิทธิพลเหนือเงินตราในทุกวันนี้ เหมือนเป็นคำพูดนามธรรม ยากต่อการทำแต่ก็ใช้ว่าจะไม่สามารถทำอะไรให้ดีขึ้นได้เลย เพียงแต่ต้องเริ่มต้น ปลูกฝังค่านิยมกันเสียใหม่ เลือกให้ความสำคัญกับวัตถุ เลิกยึดติดสินค้าแบรนด์เนมที่เกินความจำเป็น หากนึงภาพอะไรไม่ออก ขอให้มองแบบอย่างของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พ่อหลวงที่สอนให้ราษฎรของพระองค์มีชีวิตอยู่ด้วยความพอเพียง มีน้ำใจ รู้จักการเสียสละแบ่งปัน อันเป็นสิ่งที่มีค่า เป็นปัจจัยแห่งความสุขในชีวิต ช่วยเสริมสร้างสังคมให้เข้มแข็งเปี่ยมล้นไปด้วยความสงบสุขที่มั่นคง และยั่งยืน

ที่มา : http://www.bejame.com/article/858 

เด็กไทยกับค่านิยมในการจัดฟัน



จริง หรือที่วัยรุ่นนิยมดัดฟัน ด้วยค่านิยม และความเชื่อผิด ๆ เพราะอะไร ทำไมเป็นเช่นนั้น มาดูซิว่าประโยชน์จากการดัดฟันจริง ๆ นั้นคืออะไร.....

เป็นอย่างไรบ้างเอ่ยช่วงนี้เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนคงจะตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสืออยู่ใช่มั้ยเอ่ย เพิ่งเปิดเทอมอย่างนี้ก็ต้องขยันกันหน่อยค่ะ เช่นเคยค่ะวันนี้บ๊วยหวานก็นำสาระดี ๆ มาฝากเพื่อน ๆ อีกเช่นเคยค่ะ แต่จะเป็นอะไรนั้นต้องติดตาม ….

ปัจจุบันเนี่ย…เพื่อนสังเกตมั้ยค่ะ ว่าวัยรุ่นสมัยนี้นิย้ม… นิยมที่จะเดินเข้าร้านทำฟัน เพื่อที่จะจัดฟันค่ะ จนกลายเป็นค่านิยม ของฮิต ของฮอตของวัยรุ่นเลยล่ะค่ะ เพราะค่านิยมที่ผิด ๆ นั่นเอง อย่างเช่น ดัดฟันแล้วจะดูน่ารัก แบบว่าคิขุอโนเนะขึ้น จะทำให้ผอมลง (ขอบอก…เหตุผลนี้นิยมสุด ๆ เลยค่ะ) หรือทำหรู แบบว่าดูดีมีฐานะ ฯลฯ นี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะ ที่วัยรุ่นหันมานิยมจัดฟันด้วยเหตุผลผิด ๆ ….

จริง ๆ แล้วการจัดฟัน หรือที่วัยรุ่นอย่างเราเรียกว่า ดัดฟันนั้น เป็นการจัดฟันให้สวยงาม ดูดีในกรณีที่ฟันของเพื่อน ๆ มีจุดบกพร่องเท่านั้นเองค่ะ เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนอาจจะกำลังคิดอยู่ว่าการจัดฟันนั้นจำเป็น หรือมีประโยชน์ตรงไหน เอาเป็นว่าเดี๋ยวบ๊วยหวานจะอธิบายให้เพื่อน ๆ ได้ทราบดีกว่า อิอิ…คงจะดีกว่าคิด เชื่อ และทำตามค่านิยมผิด ๆ ก็คือการจัดฟันเนี่ยช่วยให้ทำความสะอาดฟันได้ง่ายขึ้น ในกรณีนี้เพื่อน ๆ
จะเห็นได้ชัดเจนเลยนะคะ ในคนที่มีฟันเกไป เกมา ซึ่งจะทำความสะอาดให้สะอาดนั้น จะทำได้ยาก และนี่แหละค่ะ ที่เป็นต้นเหตุของฟันผุ เหงือกอักเสบ และโรคปริทันต์ โดยการจัดฟันก็จะทำให้เพื่อน ๆ ที่มีฟันเกไป เกมาเนี่ยทำความสะอาดฟันได้ง่ายและทั่วถึงขึ้น
และการจัดฟันนั้นยังช่วยให้มีระบบการเคี้ยวที่ดีขึ้น เพื่อน ๆ ทราบมั้ยค่ะว่าสาเหตุของระบบการบดเคี้ยวที่มีปัญหา ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากฟันมีการซ้อนเกหรือ ขึ้นผิดตำแหน่งซึ่งการจัดฟันสามารถช่วยให้ มีระบบการบดเคี้ยวที่ดี

และมีส่วนช่วยเสริมให้มีบุคลิคภาพที่ดีและแข็งแรง แล้วก็ยังช่วยให้มีการออกเสียงพูดได้ถูกต้องและชัดเจน
จะพบมากที่คนไข้มีฟันห่าง นอกจากจะทำให้ขาดความมั่นใจในตัวเองนอกจากรอยยิ้มที่ไม่สวยงามแล้ว ยังมีผลต่อการออกเสียงอีกด้วยโดยเฉพาะเสียง ส นอกจากนี้ยังสามารถเห็นได้ชัดเจน ช่วยลดการมีกลิ่นปาก
สาเหตุของกลิ่นปาก โดยส่วนใหญ่ เกิดจากเศษอาหาร และคราบจุลินทรีย์ ที่หลงเหลือเนื่องจาก การแปรงฟันไม่สะอาด เพียงพอโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในฟันที่เรียงตัวไม่เป็นระเบียบ แล้วยังช่วยในการขึ้นของฟันที่ไม่สามารถขึ้นได้เองตามธรรมชาติโดยการจัดฟัน ในกรณีนี้ มักจะเกิดกับฟันเคี้ยว ที่มีทิศทางที่การขึ้นของฟันที่ไม่ถูกต้อง ที่ทำให้ฟันเคี้ยวฝังคุด อยู่ในกระดูกหรือฟันแท้ ที่ขึ้นตามธรรมชาติไม่เกิดเนื่องจากฟันน้ำนม ถูกถอนออกก่อนกำหนด ทำให้ไม่มีเนื้อที่เพียงพอ สำหรับฟันแท้ที่ฝังอยู่ในกระดูก ใต้ฟันน้ำนมซี่นั้นๆ ไม่ต้องถูกถอนทิ้งโดยการผ่าออก

การจัดฟันเป็นวิธีที่จะช่วยขจัดปัญหาผู้ที่มีข้อบกพร่องทางฟัน ที่จะช่วยสร้างบุคลิกภาพ และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้จัดฟันมากขึ้นอีกด้วยนะคะ ถ้าฟันของเพื่อน ๆ สวยแล้วหรือไม่มีข้อบกพร่องเนี่ยบ๊วยหวานว่า เพื่อน ๆ อย่าไปทำตามค่านิยม หรือความเข้าใจผิด ๆ อย่างนั้นเลยดีกว่านะคะ เพราะการจัดฟันเนี่ยจะทำให้เราเสียค่าใช่จ่ายในการจัดฟันไม่ใช่น้อยเลยนะคะ แล้วยังเจ็บตัวอีกต่างหากค่ะ ส่วนความเชื่อที่ว่าจัดฟันแล้วจะผอมนั้นไม่จริงหรอกค่ะ คือการจัดฟันในระยะแรกนั้น จะทำให้เรานั้นทานอะไรไม่สะดวกค่ะ อยากที่บอกว่าจะเจ็บมากในการจัดฟัน ซึ่งก็จะทำให้เราทานอะไรไม่ค่อยได้ การทานอะไรไม่ค่อยได้ก็จะทำให้น้ำหนักนั้นลดลง แต่เมื่อเพื่อน ๆ ชิน หรือหายทนมาน หรือหายปวดแล้วเนี่ยก็จะทานเหมือนเดิม น้ำหนักก็จะเพิ่มมากขึ้นนั่นเองคะ

ที่มา : http://www.dek-d.com/board/view/2403893/

ศัลยกรรมหน้าเรียวที่สาวๆ ให้ความนิยมมากที่สุด

ศัลยกรรมหน้าเรียวที่สาวๆ ให้ความนิยมมากที่สุด
1.1
การมีหน้าเรียวนอกจากเป็นความปรารถนาอันดับต้นๆ ของผู้หญิงยุคใหม่แล้ว การศัลยกรรมเพื่อปรับรูปหน้าให้เรียวสวยเป๊ะยังกลายเป็นค่านิยมที่กำลังครองเมืองอย่างต่อเนื่อง สำหรับสาวคนไหนที่กำลังมองหาวิธีทำให้หน้าเรียวด้วยการศัลยกรรม แต่ยังไม่รู้ชัดเจนว่าเราสามารถปรับหน้าให้สวยเรียวดั่งใจด้วยวิธีไหนกันบ้าง วันนี้เราจะมาแนะนำให้ทราบตามนี้เลยค่ะ
1.ฉีดโบท็อกซ์การฉีดโบท็อกซ์นั้นเป็นวิธีปรับหน้าเรียวที่ได้รับความนิยมอย่างมากที่สุดเลยทีเดียว ซึ่งเป็นการฉีดสาร Botulinum Toxin เข้าไปเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังให้คลายตัวและยังสามารถปรับรูปหน้าให้เรียวเล็กลงได้ด้วย นอกจากนี้ ยังการฉีดโบท็อกซ์ยังไม่ทำให้คุณต้องเจ็บตัวเหมือนการผ่าตัด และยังไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้น แถมยังเผยให้เห็นถึงผลลัพธ์อย่างชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์อีกด้วย อย่างไรก็ดี การโบท็อกซ์ก็ยังมีข้อเสียตรงที่มันจะสามารถอยู่ได้แค่ประมาณ 6 – 8 เดือนเท่านั้น สำหรับวิธีนี้เหมาะสำหรับสาวๆ หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไขมันในบริเวณใบหน้าหรือคนที่มีเนื้อแก้มเยอะค่ะ
2.ร้อยไหมการร้อยไหมเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมรองลงมาจากการฉีดโบท็อกซ์เลยล่ะ แถมยังช่วยปรับรูปหน้าให้เรียวสวยมากขึ้นได้ วิธีการคือ จะใช้ไหมละลายที่มีขนาดความหนาและความยาวของไหมที่แตกต่างกันมาร้อยหรือสอดเข้าไปยังใต้ผิวหนัง ให้เป็นแนวเดียวกันกับกล้ามเนื้อใบหน้าหรือร้อยไหมในลักษณะแบบสานกัน ทั้งนี้ มันจะช่วยกระตุ้นให้ผิวของเราเกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมา ผลที่ได้รับก็จะทำให้หน้าของคุณเรียวและกระชับตึงมากยิ่งขึ้นนั่นเอง สำหรับการร้อยไหมนี้เหมาะกับผู้ที่ประสบปัญหาผิวน้าหย่อนคล้อยค่ะ
1.3
3.เมโสแฟต
หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยเคยคุ้นกันเท่าไรนักสำหรับการทำเมโสแฟต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่มาแรงใกล้เคียงกันกับการฉีดโบท็อกซ์นั่นเอง ข้อดีของการเมโสแฟตนี้มันจะช่วยเร่งการสลายไขมัน ช่วยลดปัญหาเซลลูไลท์ซึ่งเป็นส่วนเกินของใบหน้าได้อย่างดีเยี่ยม ส่งผลให้ผิวเกิดความตึงกระชับและยังช่วยปรับเปลี่ยนรูปหน้าให้สวยมากขึ้นกว่าเดิม การทำเมโสแฟตนี้เหมาะสำหรับสาวๆ หรือคนที่มีปัญหาหน้ากลม หน้าใหญ่หรือมีเนื้อแก้มเยอะ ทว่ามันอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้เช่นกันค่ะ โดยอาจจะมีอาการเจ็บ มีรอยฟกช้ำเกิดขึ้นบ้างภายหลังจากฉีดซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในบางรายเท่านั้น
4.ฟิลเลอร์เสริมคาง
นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากสาวๆ หลายคนไม่น้อยเลยทีเดียว การทำฟิลเลอร์เสริมคางนั้นจะเป็นการใช้สารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์มาฉีดเสริมเข้าไปยังบริเวณคาง เพื่อช่วยสร้างมิติให้แก่รูปหน้า ทำให้รูปหน้าเดิมเปลี่ยนไป คางจะเรียวยาวมากขึ้นและทำให้คุณมีความมั่นใจมากขึ้นอีกด้วย แต่ภายหลังจากคุณทำฟิลเลอร์เสริมคางไปแล้วนั้น หลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน – 1 ปีมันก็จะค่อยๆ สลายและหายไปเองตามธรรมชาติได้ค่ะ วิธีการนี้ถือว่าเหมาะสมอย่างมากสำหรับสาวหน้ากลมหรือผู้ที่มีคางสั้น
5.ผ่าตัดโหนกแก้มและกรามเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีกรามใหญ่หรือกระดูกขากรรไกรใหญ่มาตั้งแต่กำเนิดนั่นเอง แต่อาจจะต้องเจ็บตัวและเสียเวลาในการพักฟื้น สำหรับวิธีการผ่าตัดนั้นจะมีด้วยกัน 2 วิธี วิธีแรกคือ การผ่าตัดโหนกแก้ม แพทย์จะใช้การกรอกระดูกเพื่อปรับความสูงของกระดูกใบหน้าให้ลดลงได้บ้างเล็กน้อย วิธีที่ 2 ก็คือ การผ่าตัดกราม แพทย์จะใช้การตัดแต่งมุมของกระดูกขากรรไกรภายในช่องปากของเรา เพื่อปรับไปตามความเหมาะสมของรูปหน้า ทั้งหมดนี้จะทำการผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง หลังจากผ่าตัดแล้วก็จะช่วยลดโหนกแก้มและกรามทำให้เล็กลง ใบหน้าก็จะสวยเรียวได้รูปเป๊ะดั่งใจมากขึ้น เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดเหลี่ยมมุมอันเป็นส่วนเกินของใบหน้าได้แล้วค่ะ
ทราบกันอย่างนี้แล้ว หวังว่าการศัลยกรรมนานาวิธีเพื่อปรับหน้าให้สวยเรียวดั่งใจคุณนั้นจะทำให้คุณสาวๆ หันมาตรึกตรองและใส่ใจหาข้อมูลกันเพิ่มเติมอีกบ้างนะคะ เพราะการศัลยกรรมนำมาซึ่งความเสี่ยงและทำให้เราเสียเงินอย่างสิ้นเปลืองได้ แนะนำให้ศึกษาข้อมูลดีๆ ก่อนทำจะดีกว่า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์หน้าเรียวสวยเป๊ะดั่งใจที่สุด

ที่มา : http://www.trb-education.org/%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B2/

การศัลยกรรมตกแต่งริมฝีปากให้เรียวเล็กปากบาง ปากกระจับ



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ค่านิยมปากกระจับ
ศัลยกรรมปาก ปากกระจับ ปากปีกนก ปากบาง อาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับหลายๆคน แต่สำหรับในวงการศัลยกรรมนั้นเป็นที่นิยมกันอย่างขว้างขวาง มาเป็นเวลาเนิ่นนาน โดยเริ่มแรกศัลยกรรมปากเกิดขึ้นเพื่อช่วยแก้ไขและปรับแก้ความผิดปกติที่เกิดขึ้น และช่วยแก้ไขปัญหาปาก ให้กับผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ เพื่อช่วยให้ผู้มีปัญหาปากดังกล่าวมีรูปปากที่สมส่วน แก้ไขข้อบกพร่องที่มีให้สวยงามขึ้น 

ซึ่งหลังจากการทำศัลยกรรมปาก สามารถช่วยแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆที่เกิดขึ้นและสามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ประสบปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้ศัลยกรรมปาก ปากกระจับ ปากปีกนก ปากบาง เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายๆ ทำให้สาวๆและหนุ่มๆที่ใส่ใจ รักสวยรักงาม และต้องการเนรมิตตนเองให้หล่อดูดีก็ไม่พลาดที่จะทำศัลยกรรมปาก จนตอนนี้ศัลยกรรมปาก ปากกระจับ ปากปีกนก ปากบาง เป็นที่นิยมเรียกได้ว่าฮิตติด Top Chart ที่ทั้งหนุ่มๆและสาวๆ ต้องทำและพลาดไม่ได้ที่จะแพลนศัลยกรรมปากกระจับ ปากปีกนก ปากบาง ไว้เป็นหนึ่งใน 10 สิ่งที่ต้องทำและให้ความสำคัญไม่แพ้ศัลยกรรมอื่นๆ

จากสถิติคนไข้ย้อนหลัง 3 ปีพบว่าเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาลูกค้าทำศัลยกรรมปาก ปากกระจับ ปากบีกนก ปากบาง เป็นผู้หญิง 70% และเป็นผู้ชาย 30% และสถิติเมื่อปีที่แล้วเปลี่ยนเป็นผู้หญิง 60 % และผู้ชาย 40% และปีปัจจุบัน 6 เดือนที่ผ่านมา สถิติเปลี่ยนเป็นผู้หญิง 50% และผู้ชายอีก 50%

ที่มา : http://www.absolutebeauty-clinic.com/mouth.php

“ผิวขาว” ค่านิยมผิดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเยาวชน

“ผิวขาว” ค่านิยมผิดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเยาวชน/สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
        “พี่ มีครีมอะไรที่ทำให้ขาวไหมพี่ หนูอยากขาวแหละ” 
     
       น้องที่ทำงานคนหนึ่งถามดิฉัน
     
       ดิฉันมองเธอด้วยอาการงงๆ เล็กน้อย เพราะเธอไม่ได้คล้ำหรือดำแต่ประการใด เพียงแต่ไม่ได้ขาวจั๊วะก็เท่านั้น สอบถามได้ความว่าเธออยากขาวกว่าเดิมอีก ลองมาหลายสูตรแล้วก็ยังไม่สำเร็จ ที่อึ้งไปพักหนึ่งเห็นจะเป็นวิธีการใช้สก็อตไบร์ทขัดถูตัว เพื่อหวังว่าจะทำให้เซลล์ที่ไม่ปรารถนาหลุดลอกไป
     
       นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดิฉันได้ยินเรื่องราวทำนองนี้ เฉพาะเรื่องเอาสก็อตไบร์ทมาขัดถูตัวเคยได้ยินคนสารภาพมาแล้วอย่างน้อย 3 คน เหตุผลเหมือนกันคืออยากผิวขาวเหมือนคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง
     
       ที่ได้ยินบ่อยอาจเป็นเพราะเพื่อนเห็นว่าดิฉันผิวขาวอาจมีสูตรเด็ดก็ได้ หารู้ไม่ ก็ดิฉันมีเชื้อสายจีนก็ต้องหมวยขาวตามสูตรพันธุกรรม แต่ก็ใช่ว่าจะพอใจตัวเองนะ ยังจำได้ว่าเมื่อตอนเด็ก ๆ ชอบออกไปตากแดดเพราะอยากให้ตัวเองดำขึ้น เขาเรียกว่าคนในอยากออก คนนอกอยากเข้านั่นแล
     
       ค่านิยมเรื่อง “ความขาว” กลายเป็นเรื่องใหญ่ในสังคมไทยมากขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเด็กและเยาวชน หากดูผิวเผินก็ไม่น่าจะมีปัญหา เด็กอยากผิวขาวก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาก็เนื่องเพราะสังคมในทุกระดับต่างก็ให้ “ค่า” เรื่องความขาวจนเกินงาม
     
       เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อมีอิทธิพลต่อเด็กและเยาวชนอย่างมาก โดยเฉพาะสื่อทีวีที่เห็นภาพทันที ยิ่งปัจจุบันมีภาพยนตร์โฆษณาที่ว่าด้วยเรื่องผิวขาวมากมายจริงๆ เวลาที่มีการโฆษณานั่นหมายความว่าชิ้นงานนั้นต้องถูกผลิตมาให้เกินจริง ทั้งขั้นตอนการถ่ายทำ การใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยให้ขาวเนียนได้สุดๆ เพราะวัตถุประสงค์เพื่อขายสินค้าให้ได้มากๆ
     
       บรรดาครีมบำรุงผิวสารพัดที่ขับเน้นเรื่องการทำให้ผิวสาวขาวได้ในเวลาอันรวดเร็วถูกนำเสนอผ่านสื่อ เป็นตัวกระตุ้นเร้าความอยากของผู้บริโภคอย่างรวดเร็วเช่นกัน เรียกว่า ปัจจุบันไม่ใช่แค่หน้าขาวเท่านั้น แต่ต้องขาวทั้งตัว ขาวแม้ใต้วงแขน หรือจุดซ่อนเร้น...
“ผิวขาว” ค่านิยมผิดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเยาวชน/สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
        กรณีของผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์ก็เข้าใจได้ว่า การโฆษณาเป็นเรื่องเกินจริง แต่เด็กที่ต้องเสพสื่อเหล่านี้จำนวนมากทุกวี่วัน ยังขาดวิจารณญาณหรือคนชี้แนะ เมื่อเห็นก็อยากเลียนแบบ อยากใช้ผลิตภัณฑ์ที่พบเห็น สร้างความสนใจและดึงดูดใจเด็กสาวจำนวนมาก รวมไปถึงเด็กหนุ่มจำนวนไม่น้อย ที่หันมานิยมผิวขาวกันมากขึ้น
      
       ถ้ายังจำกันได้ถึงข่าวคราวเมื่อหลายปีก่อนมีเด็กวัย 6 ขวบ นำไฮเตอร์มาอาบน้ำ เพื่อหวังจะให้ตัวเองผิวขาวเหมือนคนอื่น เพราะเคยเห็นจากโฆษณาทางทีวี แต่ด้วยความที่เด็กวัย 6 ขวบ ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่า น้ำยาที่ใช้สำหรับซักผ้าขาว เมื่อเด็กเห็นว่าผ้าขาวทันที ก็เลยคิดว่าเจ้าน้ำยาที่ว่าอาจจะทำให้ตัวของเด็กขาวได้ ก็เลยนำมาอาบน้ำซะเลย กลายเป็นข่าวโด่งดังมาแล้วครั้งหนึ่ง
      
       กระแสเรื่อง “ผิวขาว” กลายเป็นปัญหาของเด็กหนุ่มสาวยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางการให้ “ค่า” ของคนที่ประสบความสำเร็จ ดารา นักร้องที่ผิวขาวก็จะได้รับความสนใจ มักจะประความสำเร็จ ในขณะที่คนผิวเข้มจะถูกจัดวางให้อยู่ในบทบาทการแสดงที่ด้อยกว่า หรือเป็นตัวแสดงที่เป็นปมด้อย เช่น ตัวตลก นางร้าย ฯลฯ 
      
       จะว่าไปจริงหรือไม่...เด็กที่เกิดมาผิวคล้ำก็จะถูกพูดในท่วงทำนองว่า เด็กคนนี้เกิดมาอาภัพตัวดำ จะโดยที่ผู้ใหญ่ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่เด็กก็จะรู้สึกเป็นปมด้อยมาตั้งแต่เด็ก พอเข้าโรงเรียนเด็กเหล่านี้ก็มักจะถูกเพื่อนล้อเลียนอยู่เสมอ ก็ยิ่งทำให้เด็กเกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าสีผิวเป็นปัญหาของตัวเอง
      
       สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องที่เด็กและเยาวชนซึมซับอยู่ทุกวัน 
      
       ยิ่งเมื่อผู้ประกอบการจับจุดนี้ได้ อาศัยค่านิยมด้วยการฉวยโอกาสเปิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความงามมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการทำให้ผิวขาวชั่วข้ามคืน
      
       ดิฉันยังจำได้ว่าเด็กสาวคนหนึ่งเคยทำงานบ้าน เธอใช้ผลิตภัณฑ์ทาหน้าขาวจากคลินิกแห่งหนึ่งมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ซึ่งหน้าเธอก็ขาวจริงๆ แต่ขาวเฉพาะหน้า ส่วนอื่นๆ ก็ผิวคล้ำตามปกติ แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งหน้าเธอก็ขึ้นจุดๆ เธอไปพบแพทย์ แล้วกลับมาเล่าไปร้องไห้ไปบอกว่าหน้าเธอพังหมดแล้ว และเธอกำลังเป็นโรคผิวหนังอย่างรุนแรง จากนั้นเธอก็ลาออก แล้วก็ไม่ได้พบกันอีก
      
       ดิฉันได้มีโอกาสพบคุณหมออิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา สำนักงานเลขาธิการแพทยสภา ซึ่งห่วงใยเรื่องนี้มาก เพราะเด็กและเยาวชนในปัจจุบันรู้เท่าไม่ถึงการณ์เรื่องความอยากผิวขาว โดยที่ไม่มีความรู้ อีกทั้งในปัจจุบันก็มีตัวยาที่ชื่อว่า “กลูตาไธโอน” ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อให้ผิวขาวโดยฉีดเข้าเส้น แต่ในความเป็นจริง สารดังกล่าวสามารถทำให้ขาวได้ในระยะสั้นๆ เท่านั้นเอง แต่ตัวยาดังกล่าวอาจเป็นอันตรายได้
      
       สื่อเป็นปัญหาใหญ่มากในสังคมขณะนี้ โดยเฉพาะสื่อทีวีที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน ทำให้เกิดการเลียนแบบ ความนิยมผิวขาว ทำให้หนุ่มสาวรุ่นใหม่สรรหาสารพัดวิธีที่จะทำให้ผิวขาวตนเองในเวลาอันรวดเร็ว หลงเชื่อการโฆษณาอวดอ้างตามสื่อต่าง ๆ ว่ามียาหรือเครื่องสำอางทำให้หน้าขาว แม้กระทั่งการฉีดยารักษาโรคมะเร็งที่มีสารกลูตาไธโอน เข้าเส้นเลือด หวังผลข้างเคียงของยาไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่ผิวหนัง เพื่อให้ผิวขาว โดยหารู้ไม่ว่าการได้รับสารปริมาณมากมีอันตรายถึงชีวิต
      
       แต่...ที่น่าประหลาดใจกลับพบว่าเด็กรุ่นใหม่ยอมเสี่ยงภัยเพื่อความงาม โดยไม่สนใจผลกระทบที่ตามมา มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ที่มา : http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000121748